5/9/57

ร่วมมือ


ในคืนวันหนึ่ง แม่กุญแจก็บ่นให้ลูกกุญแจฟังว่า
“ฉันต้องถูกล็อคไว้ที่บ้านไม่ได้ไปไหน แต่เธอนะไปไหนเจ้านายก็เอาไปด้วย ฉันอิจฉาเธอจริงๆเลย”
แต่ลูกกุยแจกลับเถียงกลับไปว่า
“เธอนั่นแหละที่โชคดี ได้อยู่กับบ้านทุกวันอย่างสบายๆ ไม่ต้องตากแดดตากฝน ฉันละอิจฉาเธอจริงๆ”
อยู่มาวันหนึ่ง หลังจากเจ้าของบ้านออกไปทำธุระ แต่ไม่ได้เอาลูกกุญแจไปด้วย มันจึงสบโอกาสแอบซ่อนตัวเองไว้ไม่ให้ใครรู้ หลังจากเจ้าของบ้านกลับมาถึงบ้าน หาลูกกุญแจอย่างไรก็หาไม่เจอ อารมณ์โมโห ก็เลยทุบแม่กุญแจทิ้ง จากนั้นก็เอาไปทิ้งในถังขยะ
เมื่อเดินเข้าบ้าน เห็นลูกกุญแจตกอยู่ใต้โต๊ะ ก็สบถออกมาว่า
“แม่กุญแจก็เสียไปแล้ว มีเธอไปก็ไม่มีประโยชน์”
พูดเสร็จ เขาก็โยนลูกกุญแจทิ้งลงถังขยะ
ในถังขยะ แม่กุญแจและลูกกุญแจได้แต่ถอดทอนใจ
แม่กุญแจจึงเอ่ยขึ้นว่า
“เพราะเราไม่เห็นคุณค่าของตัวเอง กลับเอาแต่อิจฉากัน เรื่องมันจึงจบแบบนี้!”

# ในขณะที่คุณอิจฉาคนอื่น คนอื่นก็อาจจะกำลังอิจฉาคุณเช่นเดียวกัน อิจฉามิสู้ชื่นชม ร่วมมือ สนับสนุนซึ่งกัน เพราะต่างคนต่างมีคุณประโยชน์ใช้สอยที่ต่างกันไป รถยนต์คนหนึ่งหากน็อตเล็กๆตัวหนึ่งหายไป อาจนำมาซึ่งความเสียหายใหญ่หลวง อย่าดูแคลนงานที่ตัวเองทำ ทุกคนล้วนมีความสำคัญ

กลัดกลุ้ม เกิดจากอะไร?


เรื่องราวในชีวิตคนเราในโลกนี้มีมากมายไม่จบสิ้น
แต่ทว่า หากเราแบ่งเป็นหมวดหมู่ใหญ่ๆ แล้ว เรื่องราวในชีวิตของคนเราก็มีเพียง 3 หมวดเท่านั้นเอง
ได้แก่
“เรื่องของตัวเอง”
“เรื่องของคนอื่น”
“เรื่องของฟ้าเบื้องบน”

“เรื่องของตัวเอง”
หมายถึงสิ่งที่เกี่ยวพันกับการดำรงชีวิตของเรา เช่น ทำงาน กินข้าว หลับนอน ความรักความผูกพัน ฯลฯ เป็นเรื่องราวที่เราสามารถจัดการวางแผนได้ด้วยตนเอง

“เรื่องของคนอื่น”
หมายถึงเรื่องราวที่ไม่เกี่ยวข้องอะไรกับเรา เช่น สมชายชอบคุยโอ่ สมหมายชอบเล่นไพ่ สมทรงไม่ชอบอาบน้ำ ฯลฯ เหล่านี้เป็นเรื่องของคนอื่น เป็นสิทธิของคนอื่นเขาไม่เกี่ยวอะไรกับเรา

“เรื่องของฟ้าเบื้องบน”
หมายถึงภัยพิบัติ น้ำท่วม ไฟไหม้ แผ่นดินไหว สึนามิ ฯลฯ ฟ้าเบื้องบนเป็นผู้กำหนด

สิ่งที่ทำให้มนุษย์เราอยู่แบบไม่มีความสุขก็เพราะว่า
“ลืมเรื่องราวของตัวเอง ชอบยุ่งเรื่องราวของคนอื่น กลุ้มใจในเรื่องของฟ้าเบื้องบน”
ยกตัวอย่างเช่น ลืมย้อนพิจารณาตนเอง ลืมทำหน้าที่ของตนให้ดี
ชอบติฉินนินทาเรื่องราวของชาวบ้าน ชอบเจ้ากี้เจ้าการเรื่องราวของคนอื่น(ชอบเป็นผู้หวังดีแต่ประสงค์ร้าย)
ชอบคาดเดาว่าเมื่อไหร่โลกจะแตก! สวรรค์นิพพานมีสภาพเป็นยังไง? ประเทศใดจะล่มสลายก่อนเพื่อน ฯลฯ

เรื่องราวทั้ง 3 คือที่มาของความกลัดกลุ้มกังวลของคนเรา จะทำอย่างไรให้ 3 เรื่องนี้สมดุลกัน
ข้าพเจ้าคิดว่า
“จัดการเรื่องราวของตนเองให้ดี
ไม่ต้องคิดควบคุมเรื่องราวของคนอื่น(ไม่ได้หมายความว่าเจอคนปล้นฆ่าอนาจารแล้วก็ยืนดูอยู่เฉยๆ)
เรื่องราวของฟ้าให้ฟ้าลิขิตทำชีวิตตนในตั้งอยู่ในความดีงาม (30 ลิขิตฟ้า 70 ต้องฝ่าฟันเอง) ”

วางเรื่องราวในใจลงไม่ได้ คือต้นเหตุแห่งความกลัดกลุ้ม
ดังนั้น ความกลัดกลุ้มเกิดจากเราเป็นคนหามาเอง หากเราไม่ทำให้ตัวเองกลัดกลุ้ม ใครจะทำให้เรากลัดกลุ้มได้
ในยามที่ความกลัดกลุ้มมาเยือน
ลองตรวจสอบว่า นี่เป็นเรื่องของตัวเอง เรื่องของคนอื่น หรือเรื่องของฟ้าเบื้องบน
เราย่อมรู้ว่าจะจัดการกับตัวเราเองอย่างไร!
และย่อมปลดเปลื้องความระทมทุกข์ในใจได้อย่างรวดเร็วเช่นกัน

3/9/57

ผมเป็นBFของคุณ!


เด็กผู้ชายคนหนึ่งพูดกับเด็กผู้หญิงคนหนึ่งว่า
“ฉันเป็น BF ของเธอ”
เด็กผู้หญิงมองหน้าเด็กผู้ชาย แล้วถามไปว่า
BF คืออะไร?”
เด็กผู้ชายหัวเราะคิกคักแล้วตอบไปว่า
“ก็หมายความว่า best friend ไงละ”(เพื่อนที่ดีที่สุด)

เมื่อโตมา พวกเขาก็คบหากันเป็นแฟน
เด็กหนุ่มพูดกับเด็กสาวว่า
“ผมเป็น BF ของคุณ”
เด็กสาวเอียงหน้าด้วยความเขินอาย แล้วถามไปว่า
BF คืออะไร?”
เด็กหนุ่มยิ้มแย้มด้วยหัวใจชุ่มชื่นแล้วตอบไปว่า
“ก็หมายความว่า boy friend ไงละ”(แฟน)

พวกเขาคบหากันเป็นแฟนได้หลายปี ก็ตัดสินใจแต่งงานกัน
และก็มีลูกสาวที่น่ารักคนหนึ่ง
สามีพูดกับภรรยาว่า
“ผมเป็น BF ของคุณ”
ภรรยาถามสามีด้วยสีหน้าอ่อนโยนว่า
BF คืออะไร?”
ผู้เป็นสามีมองหน้าบุตรสาวด้วยสีหน้าเปี่ยมสุข แล้วตอบไปว่า
“ก็หมายความว่า baby's father  ไงละ”(พ่อของลูก)

เมื่อเขาทั้งสองแก่ตัวลง
สองเฒ่านอนอยู่บนเปลหน้าระเบียงบ้าน มองดูพระอาทิตย์กำลังจะตกดิน
สามีเฒ่าก็พูดกับภรรยาเฒ่าว่า
“ยายเฒ่า ฉันเป็น BF ของเธอนะ”
ภรรยาเฒ่าถามสามีชราด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยริ้วรอยเหี่ยวย่นว่า
“ตาแก่ BF คืออะไร?”
สามีเฒ่ามองไปที่พระอาทิตย์ที่กำลังจะลับขอบฟ้า จากนั้นก็มองที่ใบหน้าภรรยา แล้วตอบไปด้วยเสียงอันแหบพร่าแต่แฝงด้วยพลังว่า
Be forever”(ชั่วกัลปาวสาน)

…………………
สุภาษิตจีนกล่าวว่า
夫妻是緣,善緣、惡緣,無緣不聚。子女是債,討債、還債、無債不來。
สามีภรรยาคือสัมพันธ์ บุญสัมพันธ์หรือกรรมสัมพันธ์ ไร้สัมพันธ์ไม่มาพบเจอกัน
บุตรธิดาคือหนี้ ทวงหนี้หรือใช้หนี้ ไม่มีหนี้ไม่มาเกิดเป็นลูก
ไม่ว่าเป็นบุญหรือกรรม วันนี้คุณก็แต่งงานกันแล้ว ต้องรู้ถนอมความสัมพันธ์
ไม่ว่าคุณจะมาทวงหนี้หรือใช้หนี้พ่อแม่ วันนี้ท่านคือผู้ให้กำเนิด ต้องกตัญญูรู้คุณ
ธรรมะ คือหลักค้ำประกันครอบครัวให้เป็นสุข
ดั่งที่อาจารย์ผมมักจะบอกอยู่เสมอว่า
“ทุกคนมีธรรม ครอบครัวมีธรรม สังคมมีธรรม ชาติบ้านเมืองย่อมสงบร่มเย็น”
อยู่ในศีลในธรรม ตามที่พระศาสดาของเราในทุกศาสนาทรงสอนนะครับ

รู้สึกยินดีที่ได้รู้จักทุกๆ ท่านเช่นกัน
ด้วยจิตสำนึกคุณ


นุสนธิ์

หลุมพรางแห่งตัณหาอารมณ์


ชีวิตคนเรา เหมือนหนูตกถังข้าวสาร 
ด้านหนึ่งปิติยินดี ด้านหนึ่งกลัดกลุ้มกังวล
ที่ปิติก็เพราะได้พบเจอกับสิ่งที่ปรารถนา
ที่กลัดกลุ้มก็คือเมื่อกินข้าวสารหมดแล้ว จะขึ้นจากถังได้อย่างไร?
ผู้คนบนโลกนี้มากมาย ที่เห็นเพียงข้าวสารอันหอมอร่อยตรงหน้า
แต่ไม่เคยคิดหาทางที่กระโดดออกจากหลุมพรางนี้ได้อย่างไร!
ชีวิตคนเรามีจุดจบฉันใด การเสพสุขก็มีวันจบสิ้นฉันนั้น
หนูที่ชาญฉลาด ไม่โลภกินข้าวสารที่อยู่ตรงหน้าจนหมดสิ้น 
เพราะนั่นคือการตัดทางรอดของตนเอง
ผู้มีปัญญานั้นรู้ดีว่าอะไรคือหลุมพราง ย่อมไม่กระโจนลงไปในกับดักนั้น
อยู่บนโลกใบนี้ อย่าโลภมากอยากได้จนเกินไป
ผู้กระจ่างแจ้งในชีวิตเท่านั้นที่รู้จักนำพาตนเองออกจากหลุมพราง
ผู้บำเพ็ญธรรม มิใช่ละทิ้งสิ่งของรอบกาย
แต่ไม่ถูกสิ่งของรอบกายบดบังปัญญา
ทำได้เช่นนี้ ย่อมไม่ตกสู่หลุมพรางแห่งตัณหาอารมณ์

23/5/57

ลูกจ๋า อย่าส่งแม่ไปบ้านพักคนชราเลย! 兒子,不要送媽去老人院!


ลูกสะใภ้พูดว่า “ทำจืดแม่ก็ว่าไม่มีรสชาติ ตอนนี้ทำเค็มนิดหนึ่ง แม่ก็ว่ากินไม่ได้ แล้วจะเอายังไง!”
เมื่อแม่เห็นลูกชายกลับมา ไม่กล้าพูดอะไร ได้แต่กลืนข้าวเข้าปาก ลูกสะใภ้มองตามด้วยความโกรธ
เมื่อลูกชายลองชิมอาหารที่แม่กำลังกิน ก็พูดกับภรรยาว่า
“ผมบอกคุณแล้วไม่ใช่เหรอ ว่าโรคของแม่กินเค็มมากไม่ได้?”
“เอาละ! ในเมื่อเป็นแม่ของคุณ วันหลังคุณก็ทำเองก็แล้วกัน” ลูกสะใภ้กล่าวด้วยความโมโห แล้วก็สะบัดหน้าเดินเข้าห้องไป
ลูกชายเรียกตามด้วยความจนใจ จากนั้นก็หันมาพูดกับแม่ว่า
“แม่ครับ ไม่ต้องกินหรอก เดี๋ยวผมต้มบะหมี่ให้แม่กินนะครับ”
“ลูกมีอะไรจะพูดกับแม่ไหม? ถ้ามีก็บอกแม่เถอะ อย่าเก็บไว้เลย”แม่เห็นอาการกังวลของลูกชาย
“แม่ครับ เดือนหน้าผมได้เลื่อนตำแหน่ง เกรงว่าจะต้องมีงานที่ต้องรับผิดชอบมากขึ้น เมียผมก็อยากออกไปทำงาน คือว่า....”
แม่รู้ทันทีว่าลูกชายจะพูดอะไรต่อ....
“อย่าส่งแม่ไปอยู่บ้านพักคนชรานะลูก....” แม่พูดออกมาอย่างอ้อนวอน
ลูกชายนิ่งคิดไปนาน แต่ก็พยายามหาทางออกที่ดีกว่านี้
“แม่ครับ อยู่บ้านพักคนชราก็ดีนะแม่จะได้ไม่เหงา ที่นั่นมีคนดูแล ดีกว่าอยู่ที่บ้านนะครับ หากเมียผมไปทำงาน เธอจะไม่มีเวลาดูแลแม่เลยนะครับ”
หลังจากที่เขาอาบน้ำเสร็จ ก็ออกมาทานบะหมี่ จากนั้นก็เข้าไปที่ห้องหนังสือ เขายืนนิ่งอยู่ที่หน้าต่าง ในใจเกิดความสับสนขัดแย้ง ไม่รู้จะตัดสินใจอย่างไรดี!

แม่ของเขาเป็นหม้ายตั้งแต่ยังสาว กล้ำกลืนทนทุกข์เลี้ยงเขามาจนเติบใหญ่ อีกทั้งส่งเสียให้เรียนยังต่างประเทศ แต่แม่ไม่ได้อ้างสิ่งที่ทำไปเป็นเบี้ยต่อรองให้เขาต้องเลี้ยงดู กลับกันภรรยาผู้มาทีหลังกลับเรียกร้องให้เขาต้องรับผิดชอบ นี่เขาต้องส่งแม่ไปอยู่บ้านพักคนชราจริงหรือ?

“คนที่จะอยู่กับแกในช่วงบั้นปลายชีวิตคือเมียนะโว้ย ไม่ใช่แม่!” เพื่อนๆมักจะเตือนเขาอย่างนี้
“แม่ของเธอแก่แล้วนะ หากโชคดีก็อยู่กับแกได้อีกหลายปี ทำไมไม่อาศัยเวลาที่เหลือของแม่แล้วก็กตัญญูปรนนิบัติท่านละ อย่ารอให้แกอยากกตัญญูแต่แม่ไม่อยู่แล้ว แล้วแกจะเสียใจ!” ญาติๆมักจะเตือนเขาว่าอย่างนี้ เขาไม่กล้าคิดอะไรต่อ กลัวว่าตนเองจะเปลี่ยนแปลงความตั้งใจ
เย็นแล้ว พระอาทิตย์กำลังจะลับขอบฟ้า เขานั่งเงียบๆคนเดียวด้วยจิตใจที่หดหู่

ณ บ้านพักคนชราที่แสนจะหรูหรานอกชานเมือง เขาใช้เงินจำนวนมากเพื่อทดแทนความรู้สึกผิดต่อแม่ของเขา อย่างน้อยที่นี่ก็สะดวกสบาย
เมื่อเขาพยุงแม่เข้าสู่ตัวอาคาร ทีวีจอยักษ์กำลังฉายภาพยนตร์ตลกอยู่ แต่ไม่มีเสียงหัวเราะจากผู้ชมแม้แต่คนเดียว คนชราจำนวนหนึ่งที่สวมใส่เสื้อผ้าเหมือนกัน นั่งอยู่บนโซฟานั่งมองประตูทางเข้าด้วยสายตาอันเหม่อลอย หญิงชราคนหนึ่งกำลังก้มตัวลงไปเก็บขนมที่ตกอยู่ที่พื้นขึ้นมาใส่ปาก
เขารู้ว่าแม่ชอบห้องที่สว่างโล่ง จึงเลือกห้องที่แสงพระอาทิตย์สามารถสาดส่องเข้ามาได้ เมื่อมองออกไปนอกหน้าต่าง ใบไม้กำลังร่วงลงสู่พื้นหญ้าเป็นจำนวนมาก นางพยาบาลหลายคนกำลังเข็นรถเข็นที่มีคนชรานั่งอยู่ออกไปชมพระอาทิตย์ตกดิน รอบตัวเงียบสงัด ทำให้เขาสะท้านวาบในจิตใจ
แม้แสงพระอาทิตย์ยามลับขอบฟ้าจะงดงามสักเพียงใด นั่นก็หมายความว่าความมืดยามค่ำคืนกำลังจะย่างกรายเข้ามาแทนที่ เขาถอนหายใจเบาๆ
“แม่ครับ ผม....ต้องไปแล้วนะ” ผู้เป็นแม่ทำได้เพียงแค่พยักหน้า
ตอนที่เขาเดินจากมา แม่ยังคงโบกมือลาด้วยสีหน้าอันเศร้าสร้อย อ้าปากพูดโดยไม่มีเสียงอยู่ตลอดเวลา เมื่อเขาหันมามอง จึงเห็นผมสีดอกเลาของแม่ เขานึกในใจ “แม่แก่แล้วจริงๆ”
อยู่ๆ ภาพในครั้งอดีตก็ผุดขึ้นในห้วงแห่งความคิด ปีนั้นเขาอายุได้เพียงแค่6ขวบ แม่มีธุระต้องไปต่างจังหวัด จึงต้องพาเขาไปฝากไว้ที่บ้านคุณลุง ตอนที่แม่จะออกจากบ้านไป เขารู้สึกกลัวมาก เอาแต่กอดขาแม่ไม่ยอมให้แม่ไป
“แม่จ๋าอย่าทิ้งหนูไป แม่จ๋าอย่าทิ้งหนูนะ!” สุดท้าย แม่ก็ไม่กล้าทิ้งเขาไปต่างจังหวัด
เขารีบก้าวเท้าเดินออกจากที่นี่ให้เร็วที่สุด เมื่อปิดประตูแล้วก็ไม่กล้าหันไปมองแม่อีก

เมื่อกลับถึงบ้าน เขาเห็นภรรยาและแม่ยายกำลังเก็บเอาข้าวของของแม่โยนออกมานอกห้อง
ถ้วยรางวัลรูปคนยืนสูงประมาณ3ฟุตที่เขาชนะเลิศประกวดเรียงความ “แม่ของฉัน”
พจนานุกรมอังกฤษจีนที่แม่ซื้อให้เขาในวันเกิดซึ่งเป็นของขวัญชินแรกที่เขาได้รับจากแม่
ยังมียาหม่องน้ำที่แม่ต้องทาขาก่อนนอนทุกวันฯ
“หยุดเดี๋ยวนี้นะ! พวกคุณโยนของๆแม่ผมออกมาทำไม?” เขาถามออกไปด้วยความโมโหสุดขีด
“ขยะทั้งนั้น ถ้าไม่ทิ้ง แล้วฉันจะเอาของๆฉันวางไว้ตรงไหน?”แม่ยายพูดอย่างไม่สบอารมณ์
“ใช่แล้ว คุณรีบเอาเตียงเน่าๆของแม่คุณไปทิ้งได้แล้ว พรุ่งนี้ฉันจะซื้อเตียงใหม่ให้แม่ฉัน!”
รูปเก่าๆสมัยเขายังเด็กกองอยู่กับพื้น มันเป็นรูปที่แม่พาเขาไปเที่ยวสวนสัตว์และสวนสนุก
“นั่นมันเป็นสมบัติของแม่ผม ใครก็เอาไปทิ้งไม่ได้!”
“มันจะมากเกินไปแล้วนะ มาทำเสียงดังกับแม่ฉันได้ยังไง ขอโทษแม่ฉันเดี๋ยวนี้!”
“ผมเลือกคุณก็ต้องรักแม่คุณด้วย แต่คุณแต่งงานเข้ามาอยู่บ้านผม ทำไมคุณรักแม่ผมไม่ได้?”

ท้องฟ้าอันมืดมิดหลังฝนตก หนาวสะท้านเข้าไปถึงหัวใจ ท้องถนนที่ว่างเปล่าไร้รถรา บีเอ็มดับบลิวคันหนึ่งพุ่งไปข้างหน้าราวกับอยู่ในสนามแข่ง พร้อมกับเสียงสะอื้นไห้ของชายคนหนึ่งซึ่งมุ่งไปทางบ้านพักคนชรานอกเมือง
จอดรถเสร็จ เขารีบวิ่งขึ้นไปที่ห้องพักของแม่ เมื่อเปิดประตูเข้าไป เขายืนมองแม่ด้วยความรู้สึกที่ไม่น่าให้อภัยตัวเอง แม่ของเขาก้มหน้าใช้มือนวดที่ขาของตัวเอง
เมื่อแม่ของเขาเงยหน้าขึ้นมองไปที่ประตู ก็เห็นลูกชายของตัวเองยืนอยู่และในมือถือยาหม่องน้ำอยู่ และก็พูดออกมาด้วยเสียงอ่อนโยนว่า
“แม่ลืมเอามาด้วย ดีนะที่ลูกเอามาให้...”
เขาเดินไปหาแม่และคุกเข่าลงไป
“ดึกแล้วลูก แม่ทาเองได้ พรุ่งนี้ลูกต้องไปทำงานแต่เช้า กลับไปเถอะ!”
เขานิ่งไปครู่หนึ่ง สุดท้ายก็กลั้นน้ำตาไว้ไม่ได้
“แม่ครับ ผมขอโทษ แม่ยกโทษให้ผมนะ กลับบ้านเราเถอะ!”

#########################

ลูกรัก ตอนที่เจ้ายังเด็ก แม่ใช้เวลาทั้งหมดค่อยๆสอนให้เจ้าใช้ช้อนใช้ตะเกียบคีบอาหาร สอนเจ้าใส่รองเท่า สอนเข้ากลัดกระดุม สอนเจ้าใส่เสื้อผ้า อาบน้ำให้เจ้า เช็ดอุจาระปัสาวะให้เจ้า สิ่งเหล่านี้แม่ไม่เคยลืม
หากวันหนึ่ง แม่จำไม่ได้ หรือเริ่มพูดช้าลง ขอเวลาให้แม่สักหน่อย รอแม่ได้ไหม ให้แม่ได้คิด...บางครั้ง สิ่งที่แม่อยากจะพูดกับเจ้า แม่อาจจะพูดกับเจ้าไม่ได้อีกแล้ว
ลูกรัก ลูกจำได้ไหม แม่ต้องสอนเจ้ากี่ร้อยครั้งให้เจ้าพูดว่าคำว่าแม่ได้!
แม่ดีใจมากแค่ไหนที่เจ้าเริ่มพูดเป็นประโยคได้?
แม่ต้องตอบคำถามของเจ้ากี่ร้อยครั้ง กว่าเจ้าจะเข้าใจในสิ่งที่เจ้าสงสัย!
ดังนั้น หากวันหนึ่ง แม่ถามเจ้าซ้ำแล้วซ้ำอีกกับเรื่องเดิมๆ ขอให้เจ้าอย่ารำคาญจะได้ไหม?
ตอนนี้แม่อาจกลัดกระดุมเสื้อไม่ได้ ยามกินข้าวอาจหกเลอะเสื้อผ้า เจ้าอย่าเอ็ดแม่ได้ไหม? ขอให้เจ้าอดทนและอ่อนโยนกับแม่ ขอเพียงเจ้าอยู่ข้างๆแม่ แม่ก็รู้สึกอุ่นใจ
ลูกรัก วันนี้ขาของแม่เริ่มอ่อนแรง ยืนได้ไม่ค่อยนาน เดินเหินลำบาก ขอให้ลูกจับมือและพยุงแม่ไว้ เดินเป็นเพื่อนแม่จนวันที่แม่สิ้นใจ เหมือนวันที่เจ้าคลอดมา แม่ก็พยุงเจ้าเดินอย่างนี้เหมือนกัน !

23/4/57

เหตุใดจึงต้องเพียรก้าวหน้าบนหนทางธรรม

1.เพราะธรรมะล้ำค่า : 
ไม่ถึงเกณฑ์ไม่โปรด ไม่ใช่คนบุญไม่ถ่ายทอด

2.เพราะพระโองการฟ้าไม่ได้มีตลอด : 
ฟ้ามีเวลาของฟ้า ธรรมะมีวาระโปรด

3.เพราะวันเวลาไม่เคยคอยใคร : 
ชีวิตเราอยู่ที่ลมหายใจ

4.เพราะโลกเต็มไปด้วยภัยพิบัติ : 
ผู้สดับรับธรรม ย่อมแบกรับหน้าที่

5.เพื่อสร้างบุญกุศล : 
เป็นแสงสว่างนำทางตนนำทางชน

6.เพื่อชำระปณิธาน : 
ปณิธานไม่ชำระยากกลับมาตุภูมิ

7.เพื่อลบล้างหนี้เวรกรรม : 
หนี้กรรมมลาย จิตญาณเบาสบาย

8.เพื่อทดแทนพระคุณ : 
พระคุณฟ้า พระคุณอาจารย์ พระคุณบรรพชน

9.เพื่อสืบสานชีพจรธรรม : 
ดั่งคบเพลิงมิให้ดับสูญ

10.เพื่อคืนสู่ต้นธาตุต้นธรรม : 
คืนสู่องค์ธรรมมารดา





20/1/57

คนที่ขัดขวางความเจริญของคุณได้ตายไปแล้ว ! 那位防礙你的人去世了


ในวันหนึ่ง หลังจากที่เหล่าพนักงานออกไปทานอาหารกลางวันกลับมา ก็เห็นป้ายประกาศหน้าบริษัทเขียนว่า “คนที่คอยขัดขวางความความเจริญของคุณได้เสียชีวิตไปแล้วเมื่อวานนี้” และก็ได้แจ้งกับทุกคนว่าได้จัดพิธีศพให้แก่คนๆนี้ที่สนามกีฬาข้างๆบริษัท
เมื่อทุกคนได้อ่านข้อความนั้นเสร็จ ต่างก็รู้สึกเสียใจกับเหตุการณ์นี้ แต่เมื่อเวลาผ่านไปช่วงหนึ่ง ทุกคนต่างก็สงสัยว่า คนๆนั้นเป็นใครกัน?
ความสงสัยและอยากรู้นำพวกเขามายังสนามกีฬาเพื่อทำการเคารพศพ และเมื่อทุกคนเข้าใกล้โลงศพ ต่างก็ตกตะลึงพูดไม่ออก!
เพราะแทนที่จะมีรูปของคนตาย หน้าโลงศพกลับมีกระจกเงาบานใหญ่มาแทนที่ ใครก็ตามที่เข้ามาดู ก็จะเห็นใบหน้าของตัวเอง อีกทั้งข้างๆกระจกเงาก็มีข้อความเขียนไว้ว่า “ในโลกนี้ คนที่คอยขัดขวางความเจริญของคุณมีเพียงคนเดียว ก็คือตัวของคุณเอง มีเพียงคุณเท่านั้นที่จะเปลี่ยนแปลงชีวิตของคุณ และก็มีเพียงคุณเท่านั้นที่จะทำให้ตนเองประสบผลสำเร็จ....”
ชีวิตของคนเรา ไม่ได้เปลี่ยนไปเพราะการเปลี่ยนงาน เปลี่ยนนาย เปลี่ยนเพื่อน เปลี่ยนชื่อ เปลี่ยนสกุล เปลี่ยนที่อยู่ แต่หากคุณมีความมั่นใจเหนืออุปสรรคและปัญหา  ชีวิตที่เหลือของคุณ จึงเกิดการเปลี่ยนแปลง!  

不久前的某一天, 一家大公司的職員吃完午餐回到公司門口, 看到一個牌子....
上面寫著: " 昨天,那位防礙你在公司成長的人去世了...." 公司在運動中心為他設置靈堂,供同仁弔祭!
一時間,每個員工都對這位逝去的同仁感到難過..... 可過了一回, 他們開始好奇這位仁兄到底是誰?
他們帶著一種好奇的心情,走到運動中心向死者致哀.....
每個人,都在滴沽....." 這個人到底是誰呀? 他怎麼會防礙到我們的成長呢"?.....不過,反正他已經不在了 !
然後,每位員工慢慢靠近棺材時, 當他們看到棺材後,每個人忽然間都無言......
棺材中有一面鏡子: 探頭進去看的人,必定會看到自己!
而且,鏡子旁邊還有一個牌子, 上面是這麼寫的: " 世界上,只有一個人可以限制你的成長: 那就是你自己!" 只有你才可以改革你的人生....也只有你自己,才能帶給你自己幸福快樂、 對人生的認知及成功.....
你的人生,其實不會因為你換個老板、 換了朋友、 換了父母、換了公司而有任何真正的改變喔 ^_____^
但,
當你超越信念的藩籬....
當你認識到只有"你"自己才能對你自己的過去、現在和將來認真負責....
你餘下來的人生,才會因為你自己而談得上......「改變」!

14/1/57

ร่วงหล่นคืนสู่รากเดิม 落葉歸根

ใบไม้ใบหนึ่ง ร่วงลงที่ใด ก็คือคืนกลับ
ดอกไม้ดอกหนึ่ง บานขึ้นที่ใด ก็หอมอบอวล
คนๆหนึ่ง ไปถึงที่ใด ก็คือชีวิต
ใจดวงหนึ่ง คิดไปถึงไหน ก็คืออารมณ์
พระพุทธองค์ตรัสไว้ "ปล่อยตามปัจจัย จิตสงบคือบ้าน"


一片葉,落在哪裡都是歸宿。
一朵花,開在哪裡都是芳香。
一個人,走到哪裡都是生命。
一顆心,想到哪裡都是情愫。
佛說:隨緣放下,心安是家。